Blog

  • ความสำคัญของรีเทนเนอร์ เครื่องมือคงสภาพฟัน

    หลายคนดีใจที่ตัวเอง “ถอดเหล็ก” ได้เสียที แต่กลับละเลยขั้นตอนสำคัญที่สุด นั่นคือ การใส่รีเทนเนอร์ (Retainer) ซึ่งจริง ๆ แล้วรีเทนเนอร์คือหัวใจที่จะทำให้ผลลัพธ์ของการจัดฟันอยู่กับเราได้นาน หากไม่ใส่ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ปัญหาต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นได้

    การจัดฟันคือการลงทุนที่ใช้ทั้งเวลา ความอดทน และค่าใช้จ่าย เพื่อให้ฟันเรียงสวย สบฟันเป็นระเบียบ และสร้างรอยยิ้มที่มั่นใจ แต่หลายคนมักละเลยขั้นตอนสำคัญหลังถอดเครื่องมือจัดฟัน นั่นคือ การใส่รีเทนเนอร์ (Retainer)

    แท้จริงแล้วรีเทนเนอร์คืออุปกรณ์ที่ช่วย “ล็อกฟัน” ไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้อง หากไม่ใส่อย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดฟันอาจถอยหลังกลับไป และนี่คือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ใส่รีเทนเนอร์

    1. ฟันเคลื่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิม

    หลังการจัดฟัน กระดูกและเนื้อเยื่อรอบฟันยังไม่แข็งแรงพอ หากไม่มีรีเทนเนอร์คงสภาพ ฟันอาจค่อย ๆ เคลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิมได้ง่าย โดยบางคนอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

    2. ฟันซ้อนเกหรือไม่เรียงตัวเหมือนเดิม

    แม้เพิ่งถอดเหล็ก ฟันจะเรียงตัวสวย แต่หากละเลยรีเทนเนอร์ ฟันหน้าอาจเริ่มซ้อนกัน ฟันบางซี่หมุน หรือเรียงไม่ตรง ซึ่งทำให้รอยยิ้มเสียสมดุลและดูไม่สวยเหมือนตอนถอดเครื่องมือใหม่ ๆ

    3. การสบฟันผิดปกติกลับมา

    ผู้ที่เคยมีปัญหาสบฟันลึก ฟันยื่น หรือฟันสบคร่อม หากไม่ใส่รีเทนเนอร์ อาจทำให้การสบฟันที่แก้ไขแล้วค่อย ๆ กลับมาผิดปกติอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อการบดเคี้ยวและสุขภาพช่องปากโดยรวม

    4. ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายซ้ำ

    เมื่อฟันเคลื่อนหรือซ้อนเกอย่างเห็นได้ชัด หลายคนจำเป็นต้องกลับมาจัดฟันใหม่อีกครั้ง ซึ่งหมายถึงการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็น

    5. สูญเสียความมั่นใจในรอยยิ้ม

    ฟันที่เคยเรียงสวยหลังจัดฟัน หากค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนไม่เป็นระเบียบ อาจทำให้หลายคนรู้สึกกังวลและขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องยิ้ม พูดคุย หรือทำงานที่ต้องพบเจอผู้คน

    การใส่รีเทนเนอร์ไม่ใช่เรื่องทางเลือก แต่เป็น “ขั้นตอนบังคับ” ที่สำคัญไม่แพ้การจัดฟัน หากละเลย อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ลงทุนไปหายไปอย่างน่าเสียดาย

    👉 หากคุณเพิ่งถอดเครื่องมือจัดฟัน แนะนำให้ใส่รีเทนเนอร์ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ และเข้ารับการตรวจเช็กเป็นระยะ เพื่อรักษารอยยิ้มที่สวยและสุขภาพฟันที่ดีให้อยู่กับคุณไปนานที่สุด

  • Retainer สำคัญอย่างไร

    รีเทนเนอร์ (Retainer) เรื่องสำคัญหลังการจัดฟัน

             รีเทนเนอร์คือสิ่งที่ “จำเป็น” ไม่ใช่ “ทางเลือก” สำหรับผู้ที่จัดฟันมาแล้ว หากไม่ใส่ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ มีโอกาสสูงที่ฟันจะเคลื่อนกลับ จนต้องเสียเงินและเวลาในการแก้ไขใหม่อีกครั้ง

    รีเทนเนอร์คืออะไร

    รีเทนเนอร์ (Retainer) คือเครื่องมือคงสภาพฟันหลังการจัดฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันที่ถูกจัดเรียงใหม่เคลื่อนกลับไปที่ตำแหน่งเดิม เป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมองข้าม แต่จริง ๆ แล้ว “การใส่รีเทนเนอร์” คือหัวใจที่จะทำให้ผลลัพธ์การจัดฟันสวย อยู่กับเราไปได้นาน

    ประเภทของรีเทนเนอร์

    รีเทนเนอร์มีหลายชนิด แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ผู้ป่วยสามารถเลือกได้ตามความสะดวกและคำแนะนำของทันตแพทย์

    1. รีเทนเนอร์ใส (Clear Retainer)
      • ผลิตจากพลาสติกใส แนบไปกับผิวฟัน
      • ข้อดี: แทบมองไม่เห็น ดูเป็นธรรมชาติ
      • ข้อเสีย: แตกหรือหักง่าย ต้องระวังเรื่องการเก็บรักษา
    2. รีเทนเนอร์ลวด (Hawley Retainer)
      • ทำจากอะคริลิกและลวดโลหะ
      • ข้อดี: ทนทาน ปรับแก้ไขได้
      • ข้อเสีย: มองเห็นชัดกว่าชนิดใส
    3. รีเทนเนอร์ติดแน่น (Fixed Retainer)
      • เป็นลวดติดด้านในฟัน ไม่สามารถถอดเองได้
      • ข้อดี: ไม่ต้องกลัวลืมใส่ เพราะติดอยู่ตลอด
      • ข้อเสีย: ทำความสะอาดยาก ต้องดูแลสุขภาพช่องปากเป็นพิเศษ

    ทำไมการใส่รีเทนเนอร์จึงสำคัญ

    • คงรูปฟันหลังการจัด ไม่ให้เคลื่อนกลับ
    • ช่วยคงความสวยงามของรอยยิ้ม
    • ลดโอกาสต้องกลับมาจัดฟันใหม่
    • เป็นการต่อยอดการลงทุนจากการจัดฟันให้คุ้มค่าที่สุด

    ใครที่ควรใส่รีเทนเนอร์

    • ผู้ที่เพิ่งถอดเครื่องมือจัดฟันใหม่ ๆ
    • ผู้ที่มีฟันเคยซ้อนเก หรือสบฟันผิดปกติ
    • ผู้ที่ไม่อยากให้ฟันกลับไปเหมือนเดิม

    การดูแลรีเทนเนอร์

    • ทำความสะอาดทุกวันด้วยแปรงขนนุ่มและน้ำสบู่อ่อน ๆ
    • ห้ามใช้น้ำร้อน เพราะอาจทำให้บิดเบี้ยว
    • เก็บในกล่องทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อป้องกันการสูญหาย

    หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ โทร 062-639-3249

    Line : @dentofart

  • ฟันหลอ ฟันหาย กลับมามีฟันใหม่ได้ ด้วยรากเทียม

    ปัญหาฟันลุกลาม อย่ารอจนสายเกินไป

    “รากฟันเทียม” ทางเลือกที่ช่วยให้คุณกลับมายิ้มได้อย่างมั่นใจ

              หลายคนมองข้ามปัญหาช่องปากเล็ก ๆ อย่างฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือฟันโยก โดยคิดว่า “ยังไม่เป็นอะไรมาก” แต่รู้ไหมว่า…เพียงแค่ปล่อยไว้ไม่ดูแลอย่างเหมาะสม อาจลุกลามจนถึงขั้น ต้องถอนฟัน และกระทบการใช้ชีวิตในระยะยาว

    เมื่อฟันซี่หนึ่งหายไป มันไม่จบแค่ฟันหลอ… แต่มันอาจนำไปสู่ปัญหาเหล่านี้:

    ❌ ฟันข้างเคียงล้มเอียงตาม
    ❌ กระดูกขากรรไกรยุบตัว
    ❌ เคี้ยวอาหารลำบาก ย่อยยาก กระทบสุขภาพ
    ❌ พูดไม่ชัด เสียบุคลิก
    ❌ ความมั่นใจหายไป โดยไม่รู้ตัว

    รากฟันเทียมคืออะไร ?

              รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวิธีการฝังวัสดุไทเทเนียมลงในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่แทน “รากฟันธรรมชาติ” แล้วจึงใส่ครอบฟันด้านบน
              ผลลัพธ์คือ…ฟันที่มั่นคง สวยงาม และใช้งานได้เหมือนฟันจริง ทั้งการพูด เคี้ยว และดูแลรักษา

    ทำไมรากฟันเทียมคือทางเลือกที่ “จบในระยะยาว”?

    มั่นคง แข็งแรง ไม่หลุด
    ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ ทั้งรูปลักษณ์และการใช้งาน
    ไม่ทำลายฟันข้างเคียง ต่างจากสะพานฟันที่ต้องกรอฟันดี
    ป้องกันกระดูกขากรรไกรฝ่อ ซึ่งมักเกิดเมื่อไม่มีรากฟัน
    ดูแลรักษาง่าย ใช้แปรงและไหมขัดฟันเหมือนฟันปกติ
    อยู่ได้นานหลายสิบปี หากดูแลดี บางรายอยู่ได้ตลอดชีวิต

    ใครควรพิจารณาทำรากฟันเทียม?

    • คนที่ สูญเสียฟัน ไม่ว่าจะเพราะฟันผุ รากฟันอักเสบ หรืออุบัติเหตุ
    • คนที่ ใส่ฟันปลอมแล้วไม่สะดวก หรือรู้สึกไม่มั่นใจ
    • ผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ คงทนและดูดีในระยะยาว

    ปัญหาฟันไม่ใช่เรื่องเล็ก ยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งเสียหายมากขึ้น

    หากคุณกำลังเจอปัญหา

    • ฟันโยก
    • เหงือกร่น
    • มีซี่ที่ผุจนต้องถอน อย่ารอจนกระทบการพูด หรือการกินอาหารในแต่ละวัน

     การเลือกทำ รากฟันเทียม แทนการปล่อยให้ช่องว่างอยู่เปล่า ๆ คือการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว
    ทั้งป้องกันปัญหาลุกลาม และคืนความมั่นใจให้ชีวิตคุณ

    อยากฟันดี…ต้องเริ่มดูแลตั้งแต่วันนี้

    รากฟันเทียม ไม่ใช่แค่ “ซ่อมฟัน” แต่คือ “คืนชีวิตให้รอยยิ้ม” หากคุณเริ่มมีปัญหา หรือสูญเสียฟันไปแล้ว
    ลองปรึกษาทันตแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกที่เหมาะกับคุณได้เลย

    📞 นัดหมาย/ปรึกษาออนไลน์ฟรี 062-639-3249
    📍 คลินิกทันตกรรม เดนท์ออฟอาท
    💬 Line : @dentofart

    เพจ : เดนท์ออฟอาท คลินิก ทันตกรรม ทำฟันครบวงจร

    https://www.facebook.com/share/14Esc7wwUnP/?mibextid=wwXIfr

  • รากเทียม ฟันซี่ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนฟันเดิม

    “อยากกลับมายิ้มอย่างมั่นใจอีกครั้งไหม?”

    รากฟันเทียม (Dental Implant) ทางเลือกใหม่ของคนอยากมีฟันถาวรกลับคืน

                  การสูญเสียฟัน ไม่ได้กระทบแค่ความสวยงามของรอยยิ้ม แต่ยังส่งผลต่อการบดเคี้ยว การพูด และสุขภาพช่องปากโดยรวม รากฟันเทียมจึงกลายเป็นทางเลือกที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการทดแทนฟันที่หายไป

    รากฟันเทียมคืออะไร?

                รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวัสดุไทเทเนียมที่มีลักษณะคล้ายรากฟันธรรมชาติ ซึ่งถูกฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อรองรับครอบฟันหรือสะพานฟันที่ใช้แทนฟันจริง รากฟันเทียมจะทำหน้าที่เหมือนรากฟันธรรมชาติ จึงมั่นคง แข็งแรง และใช้งานได้ในระยะยาว

    จุดเด่นของรากฟันเทียม

    ใกล้เคียงฟันจริงมากที่สุด การฝังรากฟันเทียมให้ผลลัพธ์ที่ทั้งดูดีและใช้งานได้จริง เหมือนฟันธรรมชาติแทบทุกประการ

    ไม่กระทบฟันซี่ข้างเคียง ต่างจากสะพานฟันที่ต้องกรอฟันซี่ข้าง รากฟันเทียมไม่ต้องพึ่งพาฟันข้างเคียง ทำให้ฟันที่เหลืออยู่ยังคงแข็งแรง

    ใช้งานได้นานนับสิบปี หากดูแลอย่างถูกต้อง รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้นานหลายปี หรือแม้แต่ตลอดชีวิต

    มั่นใจเวลาพูดหรือเคี้ยว ไม่หลุด ไม่โยก ช่วยให้พูดชัด เคี้ยวได้ดี และมั่นใจในทุกกิจกรรม

    เหมาะกับใคร?

    • ผู้ที่สูญเสียฟัน 1 ซี่ หรือหลายซี่
    • ผู้ที่ไม่อยากใส่ฟันปลอมแบบถอดได้
    • ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากและกระดูกขากรรไกรที่เพียงพอ
    • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูฟันให้กลับมาสวยงามและใช้งานได้เหมือนเดิม

    ใครไม่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม?

    • ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
    • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น เบาหวานที่ระดับน้ำตาลสูงมาก, โรคหัวใจและหลอดเลือดที่รุนแรง, หรือผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด/รังสีรักษา
    • ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เพราะอาจส่งผลต่อการหายของแผลและอัตราความสำเร็จของรากฟันเทียม
    • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์

    ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม

    1. ปรึกษาทันตแพทย์ และตรวจประเมินสุขภาพช่องปาก
    2. เอกซเรย์/สแกน 3 มิติ เพื่อวางแผนตำแหน่งการฝังราก
    3. ผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ลงในกระดูกขากรรไกร
    4. พักฟื้นเพื่อให้รากยึดติดกับกระดูก (ประมาณ 3-6 เดือน)
    5. ติดตั้งครอบฟันถาวร เพื่อให้ใช้งานได้เหมือนฟันจริง

    ทำไมต้องทำรากฟันเทียมกับเรา?

    🦷 ทีมทันตแพทย์เฉพาะทางด้านรากฟันเทียม
    🦷 ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เครื่องมือปลอดภัยระดับสากล
    🦷 ดูแลตั้งแต่ก่อนทำ ระหว่างทำ และติดตามผลหลังทำ
    🦷 ให้คำปรึกษาแบบเป็นกันเอง เข้าใจทุกปัญหาของคุณ

    โปรโมชั่นพิเศษ!

    📌 จองคิวออนไลน์วันนี้ รับส่วนลดทันทีสูงสุดถึง XX%
    หรือผ่อน 0% สูงสุด X เดือน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่คลินิกกำหนด)

    อย่าปล่อยให้รอยยิ้มของคุณหายไปนานกว่านี้ ทวงคืนความมั่นใจกลับมา ด้วยรากฟันเทียมคุณภาพ
    ปรึกษาเราได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
    📞 062-639-3249
    💬 Line : @dentofart

    เพจ : เดนท์ออฟอาท คลินิกทันตกรรม

  • 🦷 ฟอกสีฟันที่บ้าน…อยู่บ้านก็ฟันขาวได้! สะดวก ควบคุมความขาวเองได้ เหมาะกับคนไม่มีเวลาเข้าคลินิก

    อยากฟันขาว แต่ไม่มีมานอนอยู่บนเก้าอี้ทำฟันในคลีนิค การฟอกสีฟันแบบทำเองที่บ้าน (Home Bleaching) คือคำตอบที่ “ง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า” เพราะทันตแพทย์จะออกแบบถาดฟอกเฉพาะบุคคลให้คุณ พร้อมให้เจลฟอกสีฟันกลับไปใช้ที่บ้าน

    ฟอกฟันที่บ้าน ทำอย่างไร?

    • พิมพ์ฟันเพื่อทำ ถาดฟอกเฉพาะบุคล เพื่อความแนบกระชับใส่สบายและพอดีกับฟันของคุณ
    • ได้รับ เจลฟอกฟันความเข้มข้นต่ำ Carbamide Peroxide 10% ,15%,20%-35% … .ให้เลือกได้
    • ใช้เวลาเพียงวันละ 30–60 นาที

         💡 เห็นผลใน 1–2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นของเจลและวินัยในการใช้

    🌟 ข้อดีของการฟอกสีฟันที่บ้าน

    ✅ สะดวก ใช้เองที่บ้านได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
    ✅ ราคาถูกกว่าการฟอกในคลินิก
    ✅ ลดความเสียวฟัน เพราะใช้เจลที่อ่อนกว่า
    ✅ ถาดฟอกใช้ซ้ำได้หลายรอบ คุ้มค่าในระยะยาว

    ✅ ถอดฟอกใช้ได้ในระยะยาว กรณ๊เจลฟอกหมด เพียงคุณมาซื้อเจลฟอกเพิ่ม (สามารถเลือกความเข้มข้นได้ตามความต้องการ)

    ⚠️ ข้อควรรู้

    • ต้องใช้เวลาต่อเนื่อง 7–14 วันจึงจะเห็นผลชัดเจน
    • ต้องระวังไม่ให้เจลสัมผัสเหงือก
    • ไม่ควรซื้อเจลหรืออุปกรณ์ทั่วไปจากออนไลน์เองโดยไม่มีการควบคุมจากทันตแพทย์

    👩⚕️เหมาะกับใคร?

    • คนที่อยากฟันขาว แต่ไม่มีเวลาจองคิวหรือไม่ดวกมานอนรับรับบริการบนเก้าอี้ทำฟันนาน ๆ 
    • ผู้ที่เคยฟอกฟันในคลินิกมาแล้ว อยากรักษาความขาวให้นานขึ้น
    • คนที่ต้องการความคุ้มค่าในระยะยาว และควบคุมกระบวนการได้เอง

    🚫 ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีฟันผุ คอฟันสึก เหงือกอักเสบ หรือเสียวฟันขั้นรุนแรง 

    ทั้งนี้ควรให้ทันตแพทย์ตรวจประเมินก่อนการเริ่มฟอกสีฟัน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับฟันขาว

    📍 Dent of Art Clinic ฟอกฟันที่บ้านอย่างปลอดภัย ได้ผลจริง ? โดยมีทันตแพทย์ช่วยดูแล 

    ให้บริการฟอกสีฟันที่บ้านแบบครบเซต

    ✨ ถาดฟอกเฉพาะบุคคล + เจลฟอกคุณภาพ
    ✨ แนะนำการใช้งานที่ถูกต้อง เหมาะกับคนไม่มีเวลาเข้าคลินิก                                                                                              ✨ เจลฟอกคุณภาพมาตรฐาน อย.
    ✨ ติดตามผลหลังการใช้งาน
    ✨ ราคาย่อมเยา ใช้ได้นานหลายครั้ง

    📆 จองคิวปรึกษา หรือสอบถามราคา

     โทร: 062-639-3249
    LINE: @Dentofart
    Facebook: Dent of Art Clinic

    📌 ให้คำแนะนำโดยทันตแพทย์ทุกเคส มีที่จอดรถสะดวก เดินทางง่าย
    📦 มีบริการส่งชุดฟอกถึงบ้าน (ในกรณีที่เคยพิมพ์ถาดกับเรา)

    👉 กดจองเลยวันนี้ เพื่อยิ้มขาวในแบบที่คุณควบคุมได้เอง!
    #ฟอกฟันที่บ้าน #HomeBleaching #DentofArt

  • 🦷 ฟอกสีฟันในคลินิก ฟันขาวใน 1 ชั่วโมง ✨ เปลี่ยนรอยยิ้มให้มั่นใจกว่าเดิม!

    คุณอยากฟันขาวไว แต่ไม่อยากลองผิดลองถูกใช่ไหม? 

    การฟอกสีฟันในคลินิก คือทางเลือกที่ปลอดภัย ได้ผลเร็ว และเห็นความเปลี่ยนแปลงทันที! ด้วยเจลฟอกสูตรเข้มข้น + เทคโนโลยีแสงเย็น (LED หรือเลเซอร์) ช่วยให้ฟันขาวขึ้น 2–8 ระดับในครั้งเดียว ทำโดยทันตแพทย์ ปลอดภัย             ไม่ต้องกลัวพลาด

    ทำไมต้องฟอกสีฟันในคลินิก?

    ฟันคุณอาจดูหมองจากกาแฟ ชา หรือบุหรี่ แม้จะแปรงดีแค่ไหนก็ไม่ขาว ขัดฟันหรือขูดหินปูนแล้ว ก็ขาวขึ้นแต่ยังไม่เป็นที่พอใจ การฟอกสีฟันในคลินิกจะช่วยให้คุณ  ยิ้มได้อย่างมั่นใจ แบบไม่ต้องรอนานหลายวัน

    เทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย เห็นผลเร็ว

    ในคลินิกของเรา ใช้เทคโนโลยีฟอกสีฟันที่ได้มาตรฐาน:

    • แสง LED (Cool light / Zoom light): ปลอดภัย เหมาะกับคนที่มีอาการเสียวฟัน
    • เจลฟอกฟันขาว น้ำยา Carbamide เข้มข้น : เพิ่มความขาวกระจ่างให้ฟัน ใช้เวลาเพียง 30–60 นาที

    คุณแค่เพียงนอนสบาย ๆ บนเก้าอี้ พร้อมให้ทันตแพทย์ดูแลตลอดทุกขั้นตอน

    🌟 ข้อดีของการฟอกสีฟันในคลินิก

    ✅ เห็นผลทันที – ฟันขาวขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก
    ✅ ดูแลโดยทันตแพทย์ – ลดความเสี่ยงและผลข้างเคียง
    ✅ เหมาะกับคนที่มีคราบลึก เช่น จากกาแฟ ชา ไวน์
    ✅ อุปกรณ์ได้มาตรฐาน ปลอดภัย ผ่านการรับรองจากอย.

    ⚠️ ข้อควรรู้

    • ราคาฟอกสีฟันที่คลินิก โดยเฉลี่ย 3,000–6,000 บาท)
    • อาจมีอาการเสียวฟันเล็กน้อยใน 1–2 วันแรก แล้วอาการเสียวฟันจะค่อย ๆ ลดลงจนหายไป 
    • ในสัปดาห์แรกหลังการฟอก ไม่ควรทานของร้อนจัดหรือเย็นจัด เช่ย กาแฟร้อนไอศครีม หรือน้ำอัดลมที่มีสี
    • ต้องเข้าคลินิกเพื่อรับบริการ

    👩⚕️ ใครเหมาะกับการฟอกสีฟันในคลินิก?

    • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วน เช่น เตรียมแต่งงาน พรีเซนต์งาน ถ่ายภาพไปรไฟล์
    • คนที่ไม่เคยฟอกสีฟันมาก่อน
    • มีคราบฝังแน่น ฟอกเองไม่ออก
    • ไม่มีเวลาทำที่บ้านหลายวัน

    🚫 ไม่แนะนำสำหรับ: ผู้ที่มีฟันผุ เหงือกอักเสบ / เด็กต่ำกว่า 16 ปี / หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

    📍 ฟอกสีฟันกับคลินิกที่เชี่ยวชาญและไว้ใจได้

    การฟอกสีฟันในคลินิกเหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และมั่นใจในความปลอดภัยภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ ที่ Dent of Art Clinic เราให้บริการด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมดูแลคุณตั้งแต่ก่อน–ระหว่าง–หลังฟอกสีฟัน พร้อมเปลี่ยนความขาวกระจ่างขอรอยยิ้มคุณแล้วหรือยัง 

    📞 พร้อมเปลี่ยนรอยยิ้มของคุณแล้วหรือยัง?

    📍 Dent of Art Clinic
    ✅ ฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    ✅ เทคโนโลยีปลอดภัย ขาวขึ้นในครั้งเดียว
    ✅ มีให้เลือกทั้งแบบฟอกที่คลินิก (Cool Light ) และแบบฟอกด้วยตัวเองที่บ้าน 

    จองคิว / สอบถามโปรโมชั่นพิเศษ

    📲 โทร: 062-639-3249
    💬 LINE: @Dentofart
    🔵 Facebook: Dent of Art Clinic

    📌 คลินิกอยู่ติดถนนใหญ่ เดินทางสะดวก มีที่จอดรถรองรับ
    📆 คิวแน่นทุกสัปดาห์ แนะนำจองล่วงหน้า

    👉 กดจองตอนนี้ ฟันขาวใน 1 ชั่วโมง!
    #ฟอกสีฟัน #ฟอกฟันขาวทันใจ #DentofArt

  • 🦷ฟันขาวขึ้นปลอดภัยไม่เสียวฟัน

      เทคโนโลยีฟอกสีฟันยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

    คุณเคยมั้ย? เวลายิ้มทีไร ต้องเม้มปากเพราะฟันดูหมอง

    อยากฟอกสีฟัน แต่กลัวเจ็บ กลัวเสียวฟัน หรือกลัวไม่เห็นผล?

    วันนี้เราขอแนะนำ “เทคโนโลยีฟอกสีฟัน” ที่พัฒนาไปไกลมาก

    ทั้งขาวเร็ว ปลอดภัย และลดอาการเสียวฟันได้จริง !

    1. ฟอกสีฟันในคลินิก (In-office bleaching)

    เห็นผลไวใน 1 ครั้ง! ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที เหมาะสำหรับคนที่อยากเห็นผลชัดเจน

    เทคโนโลยีที่ใช้

    • เลเซอร์ (Laser Whitening): กระตุ้นเจลให้ทำงานลึกและไว
    • แสงเย็น LED (Cool light/Zoom light): ลดเสียวฟัน เหมาะกับคนที่ฟันไวต่อสัมผัส
    • Plasma light หรือ UV: บางคลินิกยังใช้ แต่เริ่มเปลี่ยนมาใช้ LED เพราะปลอดภัยกว่า

    📌 ข้อดี: เห็นผลทันที / ทำโดยทันตแพทย์
    📌 ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าการฟอกสีฟันด้วยตนเองที่บ้าน/ อาจเสียวฟันเล็กน้อยหลังทำ

    2. ฟอกสีฟันแบบทำเองที่บ้าน (Home bleaching)

    ควบคุมเองได้ใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะพิมพ์ปากเฉพาะบุคคลเพื่อทำถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล พร้อมเจลฟอกให้ใช้ต่อที่บ้าน

    เทคโนโลยีที่ใช้

    • เจลความเข้มข้นต่ำ (Carbamide Peroxide 10-15%)
    • บางแบรนด์มีไฟ LED จิ๋วเพื่อเร่งผลลัพธ์

    📌 ข้อดี: สะดวก / ประหยัดกว่า / เสียวฟันน้อย
    📌 ข้อเสีย: ใช้เวลานานกว่าจะขาว

    3. เทคโนโลยีเสริมอื่น

    • ยาสีฟันสูตรฟอกขาว (ช่วยรักษาความขาวหลังการฟอก)

    • ปากกาฟอกสีฟัน (Whitening Pen)
    • อุปกรณ์ควบคุมผ่านแอป (บางยี่ห้อใช้ IoT เชื่อมมือถือ)

    💬ไม่รู้จะเลือกแบบไหนดี?

    ลองบอกเราก่อนได้ว่า… งบประมาณของคุณ? อยากเห็นผลไวแค่ไหน?  เคยมีปัญหาเสียวฟันหรือไม่? เราพร้อมแนะนำเทคโนโลีที่เหมาะกับคุณที่สุดให้คุณยิ้มได้มั่นใจอีกครั้ง ✨

    💎 ฟอกสีฟันอย่างมืออาชีพโดย Dent of Art Clinic
    เห็นผลในครั้งเดียว ไม่เสียวฟัน ปลอดภัยภายใต้การดูแลของทันตแพทย์

    📍 จองคิวกับเราได้ง่าย ๆ

    📞 โทรเลย: 062-639-3249
    💬 ทักไลน์: @Dentofart
    🔵 Facebook: Dent of Art Clinic

    📌 เปิดบริการทุกวัน / ย่านรังสิต

    #dentofart #clinic #เดนท์ออฟอาท #ฟันขาว #ทำฟัน

  • รากฟันเทียม

    รากเทียม (Dental Implant) คือส่วนที่ทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดฝังรากเทียมซึ่งมีลักษณะคล้ายสกรูลงไปในกระดูกขากรรไกร เพื่อใช้เป็นหลักยึดสำหรับฟันปลอมประเภทต่างๆ เช่น ครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันปลอมทั้งปาก

    ส่วนประกอบหลักของรากเทียม โดยทั่วไปมี 3 ส่วน ได้แก่:

    1. รากเทียม (Fixture หรือ Implant Body): เป็นส่วนที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติ ส่วนใหญ่ทำจากโลหะไทเทเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อในร่างกาย ไม่ทำให้เกิดการปฏิเสธหรือการอักเสบ และมีความแข็งแรงทนทาน
    2. ตัวยึด (Abutment): เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างรากเทียมกับตัวครอบฟัน ทำหน้าที่เป็นแกนฟันสำหรับรองรับครอบฟัน
    3. ครอบฟันบนรากเทียม (Crown): เป็นส่วนที่มองเห็นได้ ทำหน้าที่เป็นตัวฟัน ใช้บดเคี้ยวอาหาร และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพ

    ทำไมถึงต้องทำรากเทียม? การสูญเสียฟันทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น การบดเคี้ยวอาหารไม่ถนัด ฟันซี่ข้างเคียงล้มเอียง กระดูกขากรรไกรละลาย และส่งผลต่อความสวยงามของใบหน้า การทำรากเทียมเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ดีที่สุด เพราะให้ความรู้สึกและประสิทธิภาพในการใช้งานใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด

    ข้อดีของการทำรากเทียม:

    • ให้ความรู้สึกเหมือนฟันธรรมชาติ: สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดีเยี่ยม และไม่มีปัญหาฟันปลอมหลวมหรือเคลื่อนที่
    • อายุการใช้งานยาวนาน: หากดูแลรักษาดี สามารถใช้งานได้ตลอดชีวิต
    • ไม่ทำลายฟันข้างเคียง: ไม่ต้องกรอฟันซี่ข้างเคียงเหมือนการทำสะพานฟัน ทำให้ฟันธรรมชาติยังคงสมบูรณ์
    • ช่วยรักษาสุขภาพกระดูกขากรรไกร: รากเทียมช่วยกระตุ้นและรักษาความแข็งแรงของกระดูกบริเวณที่สูญเสียฟัน ป้องกันการละลายของกระดูก
    • เพิ่มความมั่นใจ: ช่วยให้มีรอยยิ้มที่สวยงาม และเพิ่มความมั่นใจในการพูดคุยและเข้าสังคม
    • ดูแลรักษาง่าย: สามารถทำความสะอาดได้เหมือนฟันธรรมชาติปกติ

    ข้อเสียของการทำรากเทียม:

    • ค่าใช้จ่ายสูง: รากเทียมมีราคาสูงกว่าการทำฟันปลอมประเภทอื่น
    • ใช้เวลาในการรักษา: ต้องใช้เวลาในการฝังรากเทียมและรอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูก ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน โดยเฉพาะกรณีที่ต้องมีการปลูกกระดูก
    • ขั้นตอนการรักษาซับซ้อน: ต้องมีการผ่าตัด และต้องทำโดยทันตแพทย์ที่มีความชำนาญ
    • ไม่เหมาะกับทุกคน: ผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด (เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้) หรือผู้ที่มีกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ อาจไม่สามารถทำรากเทียมได้

    ประเภทของรากเทียม (ตามจำนวนฟันที่หายไป):

    • รากเทียม 1 ซี่: สำหรับทดแทนฟันที่หายไป 1 ซี่
    • รากเทียมหลายซี่: สำหรับทดแทนฟันที่หายไปหลายซี่ โดยอาจใช้รากเทียมจำนวนน้อยกว่าจำนวนฟันที่หายไป แล้วทำเป็นสะพานฟันบนรากเทียม
    • รากเทียมทั้งปาก: สำหรับผู้ที่ไม่มีฟันเลยทั้งปาก โดยอาจใช้รากเทียมหลายซี่เพื่อยึดฟันปลอมทั้งปากแบบติดแน่น หรือใช้รากเทียมจำนวนน้อยเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับฟันปลอมแบบถอดได้

    การเลือกทำรากเทียมควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพช่องปาก กระดูกขากรรไกร และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

  • ทำฟัน ครบวงจร

    จัดฟัน จัดฟันใส ฟอกสีฟัน

    การจัดฟันใส (Clear Aligner)

    เครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ที่ทำจากพลาสติกใสทางการแพทย์ มองเห็นได้ยาก ออกแบบด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 3 มิติ เพื่อเคลื่อนฟันทีละน้อย

    ข้อดี (Pros)

    1. สวยงามและสังเกตเห็นได้ยาก: ด้วยวัสดุที่ใสและแนบไปกับตัวฟัน ทำให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ยากมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจัดฟันแต่กังวลเรื่องบุคลิกภาพหรืออาชีพที่ต้องพบปะผู้คน
    2. สะดวกสบายในการรับประทานอาหารและทำความสะอาด: สามารถถอดเครื่องมือออกได้เมื่อรับประทานอาหาร จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องอาหารเหมือนการจัดฟันแบบติดเหล็ก และยังสามารถแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ ทำให้ดูแลสุขภาพช่องปากได้ง่ายกว่า
    3. ความระคายเคืองน้อยกว่า: ไม่มีส่วนประกอบของโลหะหรือลวดที่อาจทิ่มหรือเสียดสีกับกระพุ้งแก้ม ลิ้น หรือเหงือก ทำให้เกิดแผลในช่องปากน้อยกว่ามาก

    ข้อเสีย (Cons)

    1. ต้องมีวินัยในการใส่สูงมาก: ผู้จัดฟันต้องใส่เครื่องมืออย่างน้อย 20-22 ชั่วโมงต่อวัน และถอดเฉพาะเวลารับประทานอาหารและแปรงฟันเท่านั้น หากไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แผนการรักษาอาจคลาดเคลื่อนและใช้เวลานานขึ้น
    2. ราคาสูงกว่า: โดยทั่วไปแล้วการจัดฟันใสมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการจัดฟันแบบติดเหล็ก เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงและการวางแผนด้วยคอมพิวเตอร์
    3. อาจมีข้อจำกัดในเคสที่ซับซ้อน: สำหรับกรณีที่มีปัญหาการสบฟันที่ซับซ้อนมาก เช่น ฟันที่ต้องเคลื่อนที่ไกลๆ หรือต้องมีการถอนฟันหลายซี่ การจัดฟันแบบติดเหล็กอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีและควบคุมได้ง่ายกว่า (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของทันตแพทย์)

    การจัดฟันแบบติดเหล็ก (Metal Braces)

    เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นที่ใช้แบร็คเก็ตโลหะ (Bracket) ติดบนผิวฟันและใช้ลวด (Wire) ร้อยผ่านเพื่อสร้างแรงดึงในการเคลื่อนฟัน

    ข้อดี (Pros)

    1. ประสิทธิภาพสูงและรองรับเคสซับซ้อนได้ดี: ทันตแพทย์สามารถควบคุมทิศทางการเคลื่อนของฟันได้อย่างละเอียดและแม่นยำ จึงมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาเคสที่มีความซับซ้อนได้เกือบทุกรูปแบบ
    2. ราคาเข้าถึงง่ายกว่า: เป็นตัวเลือกการจัดฟันที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ทำให้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายกว่า
    3. ไม่ต้องกังวลเรื่องการถอด-ใส่: เนื่องจากเครื่องมือติดแน่นอยู่บนฟันตลอดเวลา จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมใส่หรือทำเครื่องมือหาย ทำให้การรักษามีความต่อเนื่องและเป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์วางไว้

    ข้อเสีย (Cons)

    1. สังเกตเห็นได้ชัดเจน: แบร็คเก็ตและลวดโลหะบนฟันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพสำหรับบางคน
    2. ดูแลความสะอาดยากและมีข้อจำกัดด้านอาหาร: เศษอาหารมักเข้าไปติดตามซอกของแบร็คเก็ตและลวด ทำให้ทำความสะอาดยากและเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุหรือเหงือกอักเสบได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว หรือกรอบ เพราะอาจทำให้เครื่องมือหลุดได้
    3. อาจเกิดการระคายเคืองในช่องปาก: ในช่วงแรกของการปรับเครื่องมือ ลวดและแบร็คเก็ตอาจเกี่ยวหรือทิ่มกระพุ้งแก้ม ทำให้เกิดความเจ็บปวดและเป็นแผลในช่องปากได้

    สรุปตารางเปรียบเทียบ

    คุณสมบัติจัดฟันใส (Clear Aligner)จัดฟันแบบติดเหล็ก (Metal Braces)
    ลักษณะภายนอกแทบมองไม่เห็นมองเห็นได้ชัดเจน
    การถอด/ใส่ถอดได้ติดแน่น ถอดไม่ได้
    ความสะดวกสบายระคายเคืองน้อยอาจระคายเคืองช่องปาก
    การรับประทานอาหารไม่มีข้อจำกัด (ถอดออกก่อน)มีข้อจำกัด (ห้ามของแข็ง/เหนียว)
    การทำความสะอาดง่าย เหมือนปกติยาก ต้องใช้อุปกรณ์เสริม
    วินัยของผู้ป่วยต้องมีวินัยในการใส่สูงไม่ต้องกังวลเรื่องการใส่
    ประสิทธิภาพดีมาก (อาจมีข้อจำกัดในเคสซับซ้อน)สูงมาก (รองรับทุกความซับซ้อน)
    ราคาสูงเข้าถึงง่ายกว่า

    การตัดสินใจเลือกระหว่างการจัดฟันทั้งสองแบบนี้ ควรพิจารณาจากไลฟ์สไตล์ งบประมาณ ความซับซ้อนของปัญหาฟัน และที่สำคัญที่สุดคือการปรึกษาและรับคำแนะนำจากทันตแพทย์จัดฟันผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณที่สุดครับ